ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างกับที่คิดและได้ยินมาก่อนหน้าที่ทุกคนที่คุยด้วยมักจะบอกว่า
** การเรียนปริญญาโทนั้นช่างหนักหนาสาหัส เหนื่อยสายตัวแทบขาด << สาวโทศึกษา
ศาสตร์เค้าบอกมา
** จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากศิลปินจะกลายเป็นนักคิด << อันนี้ ข้อคิดจากโทศิลปกรรม
** ระหว่างเรียน ชั้นได้โอกาสดี มีคนชวนไปสอนหนังสือ << อาจเป็นเพราะ สาวคนนี้เรียนโท
การตลาด
** คุณจะได้ Connection ใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง << ความเห็นจากหนุ่มโทบริหาร
** เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน จะ Click Click เหมือนฟ้าบันดาลให้มาเจอกัน << เด็กโทนิเทศเค้า
บอกไว้
** อันนี้สำคัญมากกกกก สาวจะเจอหนุ่ม หนุ่มจะเจอสาว เนื้อคู่คุณจะมาเกิด << โทบริหาร
(สาวใหญ่)ยืนยัน
โอ๊ย..ตอนที่ได้มาฟังทั้งหมด บวกกับความอยากรู้และชอบเรียนของตัวเอง สรุปออกมาเป็นผลลัพธ์ว่า ปริญญาโท ช่างน่าสนใจเป็นที่สุด อันที่จริงแล้วตั้งใจจะต่อโทมาตั้งนานแต่เรียนจบตรีใหม่ ๆ ตอนนั้นถึงขั้นวางแผนคิดการณ์ใหญ๋ จะไปเรียนโท ที่ Australia อ๊ะ!! ว่าไม่ได้ ถึงขั้นระบุเมืองไว้เลยว่า Perth เท่านั้นที่คู่ควร แต่สุดท้าย ฟองสบู่แตกดังโพละ เลยต้องทำงานเก็บเงิน ทำงานไปมา ก็เพลินแสนเพลิน ล่วงเลยมาจนถึงปีที่ 8 ของชีวิตการทำงาน เลยคิดได้ว่า ตูอยากเรียนต่อนี่หว่า?? เอาก็เอา เรียนไรดี ล่ะน้อ คิดสิคิด ....
เกลียดบริหารธุรกิจสุดๆ (เพราะเรียนแล้ว 3 ปี ตอนปริญญาตรี พอเกินพอ บัญชีลง 3 รอบ สถิติลง 3 รอบ โอ้วววว ช่างห่างไกลคำว่านักบริหารนัก งั้นเอาที่ตัวเองทำงานละกัน สายงาน สื่อสารการตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ อันนี้แหละ ช่ายเลยยยย ต่อมาก็หาที่เรียน อืม เบี้ยน้อยหอยใหญ่อย่างเรา จะไปเหมาจ่ายแบบเด็กรวยๆ ด้วยคอร์สปริญญาโทจ่ายครบจบแน่ พร้อมทัวร์ดูงานเมืองนอกก็คงไม่ไหว บ้านต้องผ่อนข้าวต้องกิน เหล้าต้องดื่ม ...
มองหามองหา สุดท้ายเข้ารอบมาได้ 2 มหาวิทยาลัย คือ แต่นแต๊น .... สุทัยธรรมมาธิราช และ รามคำแหง ทั้ง 2 ที่ ค่าเล่าเรียนราคาพอกัน แต่ที่ราม ต้องไปเรียน มสธ ไม่ต้องไปเรียน อืมๆๆๆ คิดๆๆๆ อ่ะ เอาราคำแหงละกัน (ส่วนหนึ่งคืออยากแก้ตัวเมื่อครั้งเรียนตรีที่ ราม พร้อมๆ ม.ศรีปทุม ตอนนั้นเก็บได้ 80 กว่าหน่วยกิจ มนุษย์ศาสตร์ เอก ENG ไฮโซจริง แต่ไม่รักดี เร่งศรีปทุมให้จบ 3 ปี เลยทิ้งรามซะงั้น รามจ๋า ช้านขอโทษษษษษษษษ)
พอสอบเข้าได้ (ที่จริงได้ทั้ง มสธ และ ราม นั่นล่ะ) ก็ลงทะเบียนเรียนโลดดดดดด ตอนนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นเชียว จบบริหาร มาเรียนสายนิเทศ จะไหวไหม เอาน่า เอาประสบการณ์ทำงานเข้าข่ม สู้ตาย
การเรียนสนุกมากมาย เหมือนอย่างที่คิดไว้ อย่างที่บอก ถ้าเราชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่การเรียนไม่มีทางทำให้คุณผิดหวัง ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ทฤษฎีที่ไม่เคยได้ยิน ตลอดชีวิตทำงาน พูดแต่การตลาดและผลตอบแทน เพื่อองค์กร ทุกอย่างถูกคิดด้วยเครื่องคิดเลข ส่วนงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ทำก็ถูกตีกรอบด้วยความสำเร็จของผลตอบรับจากมหาชน แต่การเรียนทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ ไม่ได้มีแต่คำว่า ผลตอบ ผลตอบรับเพียงอย่างเดียว หน้าที่ของสื่อสารมวลชนผู้ส่งสาร มีอะไรมากกว่านั้น และหน้าที่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
นอกเหนือจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการ สังคมปริญญาโท เป็นอีกเรื่องที่ต้องขอบอกว่า Surpise (กรุณาลากเสียงยาว) ลืมสิ่งที่คุณได้ยินมาทั้งหมดทิ้งลงโถชักโครกไปซะ >> เข้าข่ายไม่มีทางผิดหวัง ถ้าคุณไม่คาดหวัง ลองหลับตานึกคนร้อยพ่อพันแม่ ที่ผ่านประสบการณ์การดำเนินชีวิตมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่มากพอให้คิดว่า ตัวเองโคตรแน่ กูเก่งแล้ว นั่นแปลว่า คน (ที่คิดว่าตัวเอง)โคตรแน่ และโคตรเก่ง 40-50 คนมาอยู่รวมกัน มันก็บรรลัยล่ะคร้าบบบบบ ...
แรกๆ เธอน่ารัก เธอน่าชื่นชม นานเข้า ก็กลายเป็น เธออวดเก่ง เธอน่ารำคาญ ทุกคนต่างล้วนเอาความรู้สึกส่วนตัวประสบการณ์ชีวิตของตน ตัดสินคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น แต่จงอย่าลืมนะว่า ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่ได้มากมายอะไรเลย ปราชญ์ท่านว่า แก่แค่ไหนก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมกันทั้งนั้น ฉะนั้น จงอย่าอคติกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ลองเปิดใจฟัง เปิดใจดู ทุกอย่างมีอีกมุมหนึ่งซ่อนอยู่เสมอ
หากว่านี่เป็นการทำงานจริง ต้องรับเงินเดือน และต้องฟังคำสั่งเพื่อแลกเงิน บรรยากาศการเรียนคงง่ายกว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่ ทุกคนจ่ายตังค์มาเรียน และหวังผลตอบแทนไม่เหมือนกัน
** บางคนมาเรียนเพื่อฆ่าเวลา
** บางคนมาเรียนเพราะบริษัทส่งมา
** บางคนมาเรียนเพราะเมียสั่ง
** บางคนมาเรียน เพราะแม่ส่ง
** บางคนมาเรียนเพราะแฟนมาเรียน
** บางคนมาเรียนเพราะอยากถีบตัวเอง
** บางคนมาเรียนเพราะลูกน้องจบโทกันหมดแล้ว
** บางคนมาเรียนเพราะอยากได้เงินเดือนมากขึ้น
ส่วนฉันมาเรียนเพราะอยากได้ความรู้ อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะมีปมด้อยว่าทำงานสายนี้แต่ไม่มีหลักการ ทำงานแบบใช้ประสบการณ์และความรู้สึกเท่านั้น จึงขอเติมเต็มด้วยวิชาการ ดังนั้นจึงไม่แปลก คนเราตั้งเป้าต่างกัน ผลที่หวังก็ต่างกัน
จากคดีความเรื่องการแย่งอาจารย์ดูแล Thesis ของน้องๆ หลายคน ที่เกิดเป็นความบาดหมางใหญ่โต เรื่องเกิดจากอะไรกันแน่นะ เป็นเพราะทุกคนอยากได้อาจารย์ที่ สามารถพาตัวเองจบได้ง่ายหรือเปล่า (ไม่แน่ใจ) แล้วทำไมถึงเปลี่ยนอาจารย์ไม่ได้เลย ต้องคนนี้กลุ่มนี้เท่านั้น ยึดติดกับการเรียนจบเป็นหลัก ส่วนผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้แม้ว่าจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจดีและต้องการปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างถูกต้อง แต่ก็สื่อสารตรงไปตรงมาเกินไป จนลืมนึกว่าทุกคนในโลกล้วนชอบของหวานๆ กันทั้งนั้น ด้วยเรื่องนี้ ส่งผลให้น้องๆ หลายคนมองพี่ด้วยคนนี้ (และคนอื่นๆ บางคน) ด้วยความหมางเมิน ข้อหาฉกรรจ์เชียว พวกเค้าอยู่ข้างนั้นไม่ได้อยู่ข้างฉัน
เฮ้อ ... นึกกันดูดีๆ ทั้งเราและคุณ หลับตานึกว่าเราเคืองกันด้วยเรื่องอะไร พี่ไม่เคยคิดร้ายกับน้องๆ สักครั้ง และพี่มีจุดยืนพอที่จะไม่เข้าข้างใคร ถูกว่าถูกผิดว่าผิด หลับตานึกดูว่าเคืองกันเพราะอีกฝ่ายทำผิด หรือรังแกคุณจริงๆ หรือเคืองกันเพราะคิดว่าเค้าอยู่ข้างฝั่งตรงข้าม ถ้าน้องๆ เคืองเพราะว่าพี่ๆ ไปด่าว่าน้อง กลั่นแกล้งน้อง กีดกันน้อง หรือทำเลวร้ายกับน้องๆ พี่ก็คงไม่ว่าอะไร แต่นี่พี่นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าพี่ได้ทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นตอนไหน นอกเสียจาก พี่มี Advisor เป็นบุคคลที่น้องๆ ไม่ชอบเท่านั้น แต่อย่างว่าคนเราไม่สามารบังคับใจใครได้
อย่างที่บอกคนเรามีเป้าประสงค์ต่างกัน (ศัพท์การตลาดโผล่อีกละ) ดังผลที่หวังก็ต่างกัน ฉันได้ตามที่หวังคือความรู้กระบุงโกย ของแถมคือสังคมแบบที่ไม่เคยเจอ ทั้งหอมหวานและขมปร่า ทั้งเจ็บปวดแต่สุขสม ใบปริญญาไม่สำคัญเท่าประสบการณ์ที่ได้รับ ครั้งหนึ่งเมื่อตอนจบปริญญาตรี ก็ไม่ได้สนใจร่วมงานรับปริญญาบัตร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน งานรับปริญญาช่างไร้สาระ คนเราเมื่อเรียนก็ต้องจบ ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไร
ขอบคุณทุกสิ่งอย่างตลอด 2 ปี ขอบคุณอาจารย์ เพื่อนพี่น้อง ขอบคุณทุกความช่วยเหลือ และสุดท้ายขอบคุณความอดทนของตัวเอง ขอบคุณและขอบคุณ