29.5.52

โหยหารอยอดีต (1) -- สายโลหิต -- Best Drama in My Heart

ว่ากันว่า .... เมื่อใดที่คนเรา เริ่มโหยหาอดีต แสดงว่า คนคนนั้น กำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยชรา

เฮ้ย !! ไม่นะ ก็แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ เท่านั้นเอง

ในชีวิตคนเรานี่ มีอะไรผ่านเข้ามามากมาย

ในหนึ่งช่วงอายุของคนเรา เราได้ดูหนัง ดูละคร กี่เรื่อง

ฟังเพลง กี่เพลง ดูภาพถ่ายกี่ใบ อ่านหนังสือกี่เล่ม

แล้วในจำนวนร้อยพันหมื่นแสน เรื่องราวเหล่านั้น

จะมีสักกี่เรื่องราว ที่ผ่านเข้ามาใน แล้วไม่ได้ผ่านเลยไป

แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำ ที่ตกค้างอยู่ในห้วงคำนึง

และเรามักจะนึกถึงเรื่องราวนั้นๆ อยู่เสมอ

อาจเพราะเรื่องราวนั้นๆ สะท้อนให้เรารู้ว่า... ในขณะนั้นเรากำลังทำอะไร เป็นยังไง

สมมติว่าเราได้ฟังเพลงเก่าๆ สักเพลงเราก็จะนึกว่า

อุ๊ย!! เพลงนี้ฉันฟังครั้งแรกตอน ม.2 หรือหนังเรื่องนี้ ฉันได้ดูตั้งแต่ตั๋วราคา 30 บาท

หรือไม่ก็...ละครเรื่องนี้สนุกมากเลย ติดกันทั้งโรงเรียน อะไรประมาณนี้ ...

YeStErDay OnCE MoRe ...โหยหารอยอดีต

คือ คลังรวบรวมอดีตมากมาย ที่ตกค้างอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน

และทุกเรื่องราวจะมีเรื่องราวความหลังของฉันซ้อนทับอยู่ด้วยเสมอ

อาจจะมากบ้าง น้อยบ้าง มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ก็ตามแต่ ...

แต่มันก็สวยงามในความทรงจำของฉันเสมอมา

ลองหลับตานึกดูนะคะ ว่าตอนนั้น .... ในอดีตของฉัน คุณกำลังทำอะไรอยู่

*********************************

สายโลหิต คือ ละครที่ดีที่สุด เท่าที่เคยดูมา ตลอดชีวิต

และต้องเป็น Version นี้เท่านั้น

จำได้ว่าตอนนั้นคลั่งไคล้มากมาย

อยากจะเป็นดาวเรือง เสียเหลือเกิน เพราะ .... ขุนไกร เท่บาดจิตมากกกกกก

23.5.52

ประกาศ -- ตามหา -- เจ้าของ 'ผ้าพันคอ' ผืนนี้



ผ้าพันคอ สีเขียว ได้ใจ ผืนนี้

ทำให้น้องสาวคนหนึ่ง (ตามคำขอ พร้อมยัดไหมพรม ม้วนกว่าๆ ใส่มือมา)

น้องกำลังจะ Go Inter ไปครองรักกะแฟนหนุ่ม ที่เยอรมัน

อู๊ย ... ตื่นเต้นแทน

หวังว่าจะสร้างความอบอุ่นให้ เด็กอ้วนนะจ๊ะ

(ทำไป หนักใจไป กลัวไม่ถูกใจเด็กอ้วน เหอๆๆๆ )


<<< ลาย แบบ Close up

22.5.52

นี่ล่ะน้า ... เขาถึงว่า 'บางเรื่องไม่รู้ซะดีกว่า'

แค่อยากระบายความอัดอั้น
เมื่อวันก่อนไปเจอผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า ก.)
คุณ ก. เล่าเรื่องราว เรื่องหนึ่ง
เกี่ยวกับผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่ง (นามสมมติว่า ข.)
คุณ ข. ใช้อำนาจหน้าที่ตน
เอารัดเอาเปรียบ และขโมยผลงานของคนที่ตัวเองดูแลอยู่ (นามสมมติว่า ค.)
และ คุณ ค. คนที่โดนเอาเปรียบนั้นเป็นคนที่เรารู้จักและเคารพรักใคร่

เรื่องที่รู้มา มันร้ายแรงมากเลยนะ
แต่คุณก. ท่านบอกว่า อย่าได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณ ค. ฟังโดยเด็ดขาด
เพราะผลที่ออกมามันจะเสียทุกฝ่าย

โอ๊ย !!!! รู้สึกแย่จัง สงสารคุณ ค. ถ้าเราเป็นคุณ ค.
เราคงจะฆ่าคุณ ข. ให้ตายคามือ
คุณ ข. เลวร้ายมาก (หลายเรื่องแล้วนะ ฮึ่ม!!)

ไม่รู้จะทำไงดี สงสารคุณ ค. จัง อยากจะช่วย แต่ก็ รับปากคุณ ก. ไว้
อันที่จริง คุณ ก. เองก็สุดแสนลำบากใจ น้ำท่วมปาก

ความเลวของคุณ ข. ทำลายมันสมองและแรงกายแรงใจ ของคนๆ หนึ่ง
เอาหยาดเหงื่อ และผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ไปเป็นของตัวเอง
เสียดายความเคารพและไว้ใจ

อยากช่วยคุณ ค.แต่ไม่รู้จะทำไง คิดไม่ตก

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำไงคะ????

โอ๊ย .... ทามมายกูต้องมารู้เรื่องนี้ด้วยวะเนี่ย ... อยากตาย

PS.. คุณ ค. มี 2 คน ด้วยนะ คือ ค1 และ ค2 โดนเหมือนกันทั้งคู่

21.5.52

เค้กแยมมะม่วง << แผนร้ายทำลายแยมมะม่วงค้างปี

^^^^^^^^
เหตุเกิดจากเจ้านี่ 'แยมมะม่วง' กระปุกนี้
มันนอนแอ้งแม้ง ค้างปีอยู่ในตู้เย็นมาเกือบปี
วันก่อนคิดไงไม่รู้ เอะใจ หงายฝากระปุกดู


เอาแล้วไง ... ชะตามันกำลังจะขาด ต้นเดือนหน้า 5 มิ.ย.


ไม่ได้ๆ จะปล่อยให้มันตายเปล่าไม่ได้
ต้องหาวิธีให้ 'แยมมะม่วง' ตายอย่างมีคุณค่า


อะฮ้า คิดออกแล้ว


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยทำเค้กแยมสตรอเบอรี่
เอามาปรับเป็น เค้กแยมมะม่วงซะเลยดีกว่า


หน้าตาจึงเป็นเยี่ยงนี้
ส่วนผสมง่ายๆ ไข่ เนย น้ำตาล แป้ง ผงฟู กลิ่นวนิลา
ตีๆ กวนๆ คนๆ ได้ที่ก็เข้าอบ

ระหว่างอยู่ในเตา ใช้ความร้อน 170 C สัก 25 นาที

ออกมาหน้าตาสวยงามแบบนี้

จับเจ้าเค้กน้อย แยกร่างซะเลย

จากนั้นก็ละเลง แยมมะม่วง ผู้พลีชีพ ให้ทั่วๆ

จับร่างทั้ง ประกบกันอย่างแนบแน่นนนนนน


หั่นและจัดวาง อย่างสวยงาม


ลาก่อน 'แยมมะม่วง' เจ้าได้พลีชีพอย่างมีคุณค่าและ สมศักดิ์ศรียิ่ง

17.5.52

สวส.รักเพลงไทย<< งานไร้จรรยาบรรณ ปะทะ แม่นาค เดอะมิวสิคัล >> งานของมืออาชีพ

อันเนื่องมาด้วย เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 52) มีโอกาสอันดี (หรือเปล่า??) ได้ไปดูงาน 2 งาน
แม่งเอ๊ย!~~~! ขอบอกว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ มีผลกับเนื้องานที่ออกมา จริงๆ
งาน สวส.รักเพลงไทย นี่นะ คนจัดงาน เค้าบอกว่านักร้องดังในอดีตมาเพียบ
ทั้งสุเทพ วงศ์กำแหง วินัย พันธุรักษ์ รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส โอ๊ย และอื่นๆ อีกมากมาย ที่โด่งดังรุ่นพ่อแม่เรา เราก็เห็นว่าพี่คนที่โดนยัดเยียดขายบัตรมา 10 ใบคนหนึ่งที่สนิทกัน เค้าดูจะมีภาระมากมาย
(คือ ถ้าเค้าไม่รับมา บัตร 10ใบนั้น มีโอกาสถึงเราและเพื่อนคนอื่นค่อนข้างสูง) ก็เลยช่วยกันหาวิธีทำลายบัตร ด้วยการยัดเยียดและรวบรวมเงินเพื่อน 50 คนช่วยกันออกค่าบัตร รวม 5,000 บาท
อ่ะนะ พอได้บัตรก็ไปดูกัน ไอ้เราก็ไม่ได้อยากดู แต่เออ ว่าเห็นนักร้องระดับนี้ พาชายชราหญิงชราที่บ้านไปดูคงสุขใจ เอ้า กระเตงกันไป จากบางบัวทอง มุ่งหน้าสู่กรมประชาสัมพันธ์ คึกคักกันเชียว
พ่อกับแม่ อยากฟังคนนั้นคนนี้ พ่อนะ อุตสาห์ไป ทั้งที่ ไม่ชอบออกจากบ้านไปไหนนานๆ
เออ... เห็นว่ามีสุเทพ เค้าชอบก็เลยไป ด้วยใจหวังเต็ม เปี่ยม
อ่ะ ฝ่าสายฝนไป ขึ้นทางด่วนไป... จนถึงกรมประชาสัมพันธ์
เฮ้ย !!!!!!! แม่งเอ๊ย บอกตรูว่าจะได้แถวหน้าสุด เชี่ยแล้วไง ที่นั่งตรูอยู่แถวที่ 4 จากข้างหลัง
นรกแล้วมรึงงง เออ ไม่เป็นไร วิ่งเต้นเปลี่ยนบัตร อ่ะเปลี่ยนได้ นั่ง แถว 4 จากหน้าเวที (ช่วงนี้คุณแม่น้องที่มหาวิทยาลัย ขอให้ช่วยเปลี่ยนด้วย อยู่หลังกว่าเราอีก) ไม่เป็นไร ท่องไว้ความสุขของบุพการีอยู่เหนื่อสิ่งอื่นใด ท่องไว้ นโม นโม
ก่อนหน้านี้ คุยกันกับพี่ต้อง (คนที่โดนหลอกและยัดเยียดขายบัตร 555 น่าฉงฉาน) ว่า นักร้องดังๆ
เค้ามาจริงไหม เพราะตอนแรก งานมี 2 วัน เหมือนว่าคนดังๆ จะมา วันอาทิตย์
แต่คุณคนจัดงาน ที่คุณก็รู้ว่าใคร เค้ายืนยันว่า นักร้องชุดเดียวกันทั้ง 2 งานและงานวันที่ 2
(วันอาทิตย์ที่ 17) เค้างดจัดและรวบมาวันที่ 16 วันเดียว ด้วยความทรงคุณวุฒิของคนจัดงาน
ก็เชื่อใจว่าคนระดับนี้คงไม่เหลาะและ (ที่จริงแล้วงานพรุ่งนี้ยังมี และนักร้องดังเพียบ)
สุดท้าย คำว่า ดอกเตอร์ ไม่ได้ช่วยให้จรรยาบรรณดีขึ้น
แม่งเอ๊ย ไม่มีนักร้องดังตามรายชื่อเลยสักคนเดียว ที่พอจะมีโผล่มาให้ใจชื้น 2 เพลงแรกคือ
คุณชัยชนะ เจ้าของเพลงแม่แตงร่มใบ และคุณทิพวรรณ ปิ่นพิบาล กลางๆ มีคนที่ร้องเพลงอารีดัง
แก่ละล่ะ 75 ปี ยังแข็งแรงเชียว
มีเท่านี้ !!!!!!! เฮ้ย กรูมาจากบางบัวทองมาฟังนักร้องดัง นะโว้ย ส่วนไอ้ที่เหลือก็โคตรกะเลวกะลาด เสียงเชี่ยสุดตรีน พวกเสียเงินบริจาคแล้วได้ร้องเพลง อัยการเงี้ย นักจัดรายการเงี้ย นักร้องเกียรติยศกิติมศักดิ์เงี้ย ที่สำคัญท่านผอ.กรมประชาสัมพันธ์ เสียงเหมือนหมาเกาสังกะสีก็ขึ้นมาร้อง
เลวร้ายมากกกกกกกกกกกก ในที่สุดทนไม่ไหว ลุกกลางงานเลย งานเชี่ยๆ ของคนไร้จรรยาบรรณ สงสารก็แต่ความรู้สึกคนแก่ๆ ทั้งงาน รุ่นพ่อแม่ปู่ย่า เค้าตั้งใจมากัน
ทำไมมันเลวร้าย ทำลายความรู้สึกกันแบบนี้ ชั่วจริงๆ บอกได้คำเดียว การศึกษาไม่ช่วยพัฒนาจิตใจคน
***************************

ตอนเย็นตัดสลับโดยด่วน เนื่องจากคุณนัท เพื่อนสาว (ไม่ใช่นัท มีเรียนะ) ได้บัตรแม่นาคพระโขนงเดอะมิวสิคัลรอบ ทุ่มครึ่ง มา 2 ใบ

กรี๊ดดดดดดดดด << เสียงแม่นะ แม่อยากดูมากๆๆๆ แต่บัตรมี 2 ใบ
พ่อไม่ดู (ห่วงบ้าน) เลยต้องวกมาส่งที่บ้านบางบัวทองก่อน แล้วค่อยไป esplanade
ตุเลงๆๆ ไป หลงทางลานจอดรถ งงๆๆ เดินๆๆๆ หารัชดาลัยเธียร์เตอร์
(เชยอ่ะนึกว่าอยู่นอก esplanade -- 2 แม่ลูกเดินโก๊ะๆ งง จนเจอว่ามันอยู่ชั้น 4 กร๊ากกกก)
สุดท้ายไม่มีไรจะพูด นอกจาก ฟ้ากับเหวต่างกันแค่ไม่กี่ ชั่วโมง แม่นาคงานมืออาชีพ เล่นตรงเวลา งานเหนือความคาดหมาย แม่หัวเราะจะตกเก้าอี้ตาย
นัทเสียงดี ส่วนอาร์ก็ โอ้วว้าววว หุ่นหรือนั่น อุแม่เจ้า !!!!
แต่ที่ขโมยซีนสุดคือ งาน production สุดอลังการ กับการแสดงของธงธงและอู๊ด เป็นต่อ
(ทำแม่ชั้นขำเกือบหายใจไม่ทัน)

เฮ้อ จรรยาบรรณวิชาชีพ ส่งผลต่อเนื้องานจริงๆ ขอ...บอก

14.5.52

‘ปริญญาโท’ ให้อะไรมากกว่าที่คิด (แน่ๆ)<< เนื่องในวาระ 2 ปีผ่านไป

ก็ใครจะคิดละว่า การเรียนปริญญาโท มันจะช่าง – ท้าทาย ขนาดนี้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างกับที่คิดและได้ยินมาก่อนหน้าที่ทุกคนที่คุยด้วยมักจะบอกว่า

** การเรียนปริญญาโทนั้นช่างหนักหนาสาหัส เหนื่อยสายตัวแทบขาด << สาวโทศึกษา

ศาสตร์เค้าบอกมา
** จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากศิลปินจะกลายเป็นนักคิด << อันนี้ ข้อคิดจากโทศิลปกรรม
** ระหว่างเรียน ชั้นได้โอกาสดี มีคนชวนไปสอนหนังสือ << อาจเป็นเพราะ สาวคนนี้เรียนโท
การตลาด
** คุณจะได้ Connection ใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง << ความเห็นจากหนุ่มโทบริหาร
** เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน จะ Click Click เหมือนฟ้าบันดาลให้มาเจอกัน << เด็กโทนิเทศเค้า
บอกไว้
** อันนี้สำคัญมากกกกก สาวจะเจอหนุ่ม หนุ่มจะเจอสาว เนื้อคู่คุณจะมาเกิด << โทบริหาร
(สาวใหญ่)ยืนยัน

โอ๊ย..ตอนที่ได้มาฟังทั้งหมด บวกกับความอยากรู้และชอบเรียนของตัวเอง สรุปออกมาเป็นผลลัพธ์ว่า ปริญญาโท ช่างน่าสนใจเป็นที่สุด อันที่จริงแล้วตั้งใจจะต่อโทมาตั้งนานแต่เรียนจบตรีใหม่ ๆ ตอนนั้นถึงขั้นวางแผนคิดการณ์ใหญ๋ จะไปเรียนโท ที่ Australia อ๊ะ!! ว่าไม่ได้ ถึงขั้นระบุเมืองไว้เลยว่า Perth เท่านั้นที่คู่ควร แต่สุดท้าย ฟองสบู่แตกดังโพละ เลยต้องทำงานเก็บเงิน ทำงานไปมา ก็เพลินแสนเพลิน ล่วงเลยมาจนถึงปีที่ 8 ของชีวิตการทำงาน เลยคิดได้ว่า ตูอยากเรียนต่อนี่หว่า?? เอาก็เอา เรียนไรดี ล่ะน้อ คิดสิคิด ....
เกลียดบริหารธุรกิจสุดๆ (เพราะเรียนแล้ว 3 ปี ตอนปริญญาตรี พอเกินพอ บัญชีลง 3 รอบ สถิติลง 3 รอบ โอ้วววว ช่างห่างไกลคำว่านักบริหารนัก งั้นเอาที่ตัวเองทำงานละกัน สายงาน สื่อสารการตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ อันนี้แหละ ช่ายเลยยยย ต่อมาก็หาที่เรียน อืม เบี้ยน้อยหอยใหญ่อย่างเรา จะไปเหมาจ่ายแบบเด็กรวยๆ ด้วยคอร์สปริญญาโทจ่ายครบจบแน่ พร้อมทัวร์ดูงานเมืองนอกก็คงไม่ไหว บ้านต้องผ่อนข้าวต้องกิน เหล้าต้องดื่ม ...

มองหามองหา สุดท้ายเข้ารอบมาได้ 2 มหาวิทยาลัย คือ แต่นแต๊น .... สุทัยธรรมมาธิราช และ รามคำแหง ทั้ง 2 ที่ ค่าเล่าเรียนราคาพอกัน แต่ที่ราม ต้องไปเรียน มสธ ไม่ต้องไปเรียน อืมๆๆๆ คิดๆๆๆ อ่ะ เอาราคำแหงละกัน (ส่วนหนึ่งคืออยากแก้ตัวเมื่อครั้งเรียนตรีที่ ราม พร้อมๆ ม.ศรีปทุม ตอนนั้นเก็บได้ 80 กว่าหน่วยกิจ มนุษย์ศาสตร์ เอก ENG ไฮโซจริง แต่ไม่รักดี เร่งศรีปทุมให้จบ 3 ปี เลยทิ้งรามซะงั้น รามจ๋า ช้านขอโทษษษษษษษษ)

พอสอบเข้าได้ (ที่จริงได้ทั้ง มสธ และ ราม นั่นล่ะ) ก็ลงทะเบียนเรียนโลดดดดดด ตอนนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นเชียว จบบริหาร มาเรียนสายนิเทศ จะไหวไหม เอาน่า เอาประสบการณ์ทำงานเข้าข่ม สู้ตาย
การเรียนสนุกมากมาย เหมือนอย่างที่คิดไว้ อย่างที่บอก ถ้าเราชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่การเรียนไม่มีทางทำให้คุณผิดหวัง ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ทฤษฎีที่ไม่เคยได้ยิน ตลอดชีวิตทำงาน พูดแต่การตลาดและผลตอบแทน เพื่อองค์กร ทุกอย่างถูกคิดด้วยเครื่องคิดเลข ส่วนงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ทำก็ถูกตีกรอบด้วยความสำเร็จของผลตอบรับจากมหาชน แต่การเรียนทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ ไม่ได้มีแต่คำว่า ผลตอบ ผลตอบรับเพียงอย่างเดียว หน้าที่ของสื่อสารมวลชนผู้ส่งสาร มีอะไรมากกว่านั้น และหน้าที่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
นอกเหนือจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการ สังคมปริญญาโท เป็นอีกเรื่องที่ต้องขอบอกว่า Surpise (กรุณาลากเสียงยาว) ลืมสิ่งที่คุณได้ยินมาทั้งหมดทิ้งลงโถชักโครกไปซะ >> เข้าข่ายไม่มีทางผิดหวัง ถ้าคุณไม่คาดหวัง ลองหลับตานึกคนร้อยพ่อพันแม่ ที่ผ่านประสบการณ์การดำเนินชีวิตมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่มากพอให้คิดว่า ตัวเองโคตรแน่ กูเก่งแล้ว นั่นแปลว่า คน (ที่คิดว่าตัวเอง)โคตรแน่ และโคตรเก่ง 40-50 คนมาอยู่รวมกัน มันก็บรรลัยล่ะคร้าบบบบบ ...
แรกๆ เธอน่ารัก เธอน่าชื่นชม นานเข้า ก็กลายเป็น เธออวดเก่ง เธอน่ารำคาญ ทุกคนต่างล้วนเอาความรู้สึกส่วนตัวประสบการณ์ชีวิตของตน ตัดสินคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น แต่จงอย่าลืมนะว่า ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่ได้มากมายอะไรเลย ปราชญ์ท่านว่า แก่แค่ไหนก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมกันทั้งนั้น ฉะนั้น จงอย่าอคติกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ลองเปิดใจฟัง เปิดใจดู ทุกอย่างมีอีกมุมหนึ่งซ่อนอยู่เสมอ
หากว่านี่เป็นการทำงานจริง ต้องรับเงินเดือน และต้องฟังคำสั่งเพื่อแลกเงิน บรรยากาศการเรียนคงง่ายกว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่ ทุกคนจ่ายตังค์มาเรียน และหวังผลตอบแทนไม่เหมือนกัน
** บางคนมาเรียนเพื่อฆ่าเวลา
** บางคนมาเรียนเพราะบริษัทส่งมา
** บางคนมาเรียนเพราะเมียสั่ง
** บางคนมาเรียน เพราะแม่ส่ง
** บางคนมาเรียนเพราะแฟนมาเรียน
** บางคนมาเรียนเพราะอยากถีบตัวเอง
** บางคนมาเรียนเพราะลูกน้องจบโทกันหมดแล้ว
** บางคนมาเรียนเพราะอยากได้เงินเดือนมากขึ้น
ส่วนฉันมาเรียนเพราะอยากได้ความรู้ อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะมีปมด้อยว่าทำงานสายนี้แต่ไม่มีหลักการ ทำงานแบบใช้ประสบการณ์และความรู้สึกเท่านั้น จึงขอเติมเต็มด้วยวิชาการ ดังนั้นจึงไม่แปลก คนเราตั้งเป้าต่างกัน ผลที่หวังก็ต่างกัน
จากคดีความเรื่องการแย่งอาจารย์ดูแล Thesis ของน้องๆ หลายคน ที่เกิดเป็นความบาดหมางใหญ่โต เรื่องเกิดจากอะไรกันแน่นะ เป็นเพราะทุกคนอยากได้อาจารย์ที่ สามารถพาตัวเองจบได้ง่ายหรือเปล่า (ไม่แน่ใจ) แล้วทำไมถึงเปลี่ยนอาจารย์ไม่ได้เลย ต้องคนนี้กลุ่มนี้เท่านั้น ยึดติดกับการเรียนจบเป็นหลัก ส่วนผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้แม้ว่าจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจดีและต้องการปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างถูกต้อง แต่ก็สื่อสารตรงไปตรงมาเกินไป จนลืมนึกว่าทุกคนในโลกล้วนชอบของหวานๆ กันทั้งนั้น ด้วยเรื่องนี้ ส่งผลให้น้องๆ หลายคนมองพี่ด้วยคนนี้ (และคนอื่นๆ บางคน) ด้วยความหมางเมิน ข้อหาฉกรรจ์เชียว พวกเค้าอยู่ข้างนั้นไม่ได้อยู่ข้างฉัน
เฮ้อ ... นึกกันดูดีๆ ทั้งเราและคุณ หลับตานึกว่าเราเคืองกันด้วยเรื่องอะไร พี่ไม่เคยคิดร้ายกับน้องๆ สักครั้ง และพี่มีจุดยืนพอที่จะไม่เข้าข้างใคร ถูกว่าถูกผิดว่าผิด หลับตานึกดูว่าเคืองกันเพราะอีกฝ่ายทำผิด หรือรังแกคุณจริงๆ หรือเคืองกันเพราะคิดว่าเค้าอยู่ข้างฝั่งตรงข้าม ถ้าน้องๆ เคืองเพราะว่าพี่ๆ ไปด่าว่าน้อง กลั่นแกล้งน้อง กีดกันน้อง หรือทำเลวร้ายกับน้องๆ พี่ก็คงไม่ว่าอะไร แต่นี่พี่นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าพี่ได้ทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นตอนไหน นอกเสียจาก พี่มี Advisor เป็นบุคคลที่น้องๆ ไม่ชอบเท่านั้น แต่อย่างว่าคนเราไม่สามารบังคับใจใครได้

อย่างที่บอกคนเรามีเป้าประสงค์ต่างกัน (ศัพท์การตลาดโผล่อีกละ) ดังผลที่หวังก็ต่างกัน ฉันได้ตามที่หวังคือความรู้กระบุงโกย ของแถมคือสังคมแบบที่ไม่เคยเจอ ทั้งหอมหวานและขมปร่า ทั้งเจ็บปวดแต่สุขสม ใบปริญญาไม่สำคัญเท่าประสบการณ์ที่ได้รับ ครั้งหนึ่งเมื่อตอนจบปริญญาตรี ก็ไม่ได้สนใจร่วมงานรับปริญญาบัตร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน งานรับปริญญาช่างไร้สาระ คนเราเมื่อเรียนก็ต้องจบ ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไร
ขอบคุณทุกสิ่งอย่างตลอด 2 ปี ขอบคุณอาจารย์ เพื่อนพี่น้อง ขอบคุณทุกความช่วยเหลือ และสุดท้ายขอบคุณความอดทนของตัวเอง ขอบคุณและขอบคุณ

6.5.52

Mocca Almond Cake -- 2 ชั่วโมง -- หน้าเตาอบ คุ้มค่าความอร่อย

คันไม้คันมือ อยากทำขนมมาหลายวันละ
ในที่สุดก็ search สูตรอร่อยได้จาก blog ครัวแม่มิ้น ที่นี่
.......
ตัดสินใจ ในบัดดล ต้องทำ ต้องทำ ... โอ้ว เค้กบ้าอะไรหน้าตาดูดีมากมาย
เอ๊ ... แต่ตรูลดความอ้วนนี่หว่า
......
อ๊ะ ไม่เป็นไร ใจแข็งซะอย่างกลัวอารายยยยยย
ทำไปก่อนหาคนชิมที่หลัง ไม่มีปัญหา กลัวซะที่ไหน หึหึ
.......
เอาละนะ มาดูหน้าตากัน
(ขออนุญาติข้ามขั้นตอนต้นๆ ช่วงผสมแป้งงั้นงี้ มันเสียเวลา ไปช่วงใกล้ๆ อบเลยละกันนะ)
.......
เริ่มจาก Almond อบแล้ว แอบซื้อ blue diamond มา 1 กระป๋อง เพราะไม่อยากซื้อเยอะ
ทั้งแพงและจำนวนมากเกินต้องการ Blue diamond กระป๋องนี้ 150 กรัมตามสูตร เป๊ะ!
หลังจากตีเนื้อเค้ก (หลายขั้นตอน) ขั้นตอนตีแป้ง และขั้นตอนตีไข่ขาวจนตั้งยอด <<<
อันนี้ลุ้นมาก เพราะใช้มะนาวแทนครีมอฟฟทาทาร์ แถมตีด้วยถังพลาสติก
แทนที่จะเป็นอลูมิเนียม แต่ก็สำเร็จเสร็จสม เทลงพิมพ์ 7 นิ้ว พร้อมอบล่ะค่ะ



อบล่ะนะ 175 C --- หอมหอม


หลังอบเสร็จ โอ้วว้าว หน้าตาดี แต่แอบมีฟองอากาศนิดหน่อย -- กลัวจะไม่อร่อย จังเล้ย



ระหว่างรอเค้กเย็น ก็ข้ามไปทำหน้า almond ตามสูตรที่เค้าว่าไว้ เอาเข้าอบอีกที
เผลอแป๊บเดียว เท่านั้น ออกมาหน้าเยี่ยงนี้แล้วค่ะ

ลองสักชิ้นไหมคะ --- น่ากินน้า กลิ่นหอมมากถึงมากที่สุด
นาทีนี้ เริ่มอยากชิมรสชาติ อยากชิม เว้ยเฮ้ย T_T
.........
และแล้วมารร้ายก็เข้าสิงสู่จิตใจ นังหญิงอ้วน
อดไม่ไหวแล้วโว้ย อร๊ากกกกกกกกกกกกก !!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอสักคำเถอะ เอาตรงแหลมๆ นี่ละ เอาล่ะนะ
..........
งั่ม งั่ม กรี๊ดดดดดดด
อร่อยมากกกกกกกกกกก ขอบอก สูตรนี้เริ่ดสุดๆ
..........
อยากให้ทุกคนได้ชิมด้วยจัง ไม้ได้โม้นะ
แต่อร่อยจริง เนื้อนุ่ม หอม almond +caramel
แงๆ แล้วน้ำหนักจะขึ้นไหมเนี่ย เศร้าจิตอย่างรุนแรงและฉับพลัน

2.5.52

มนุษย์โคตรโชคร้าย...

รู้กันไหมคะว่า ??

มนุษย์เป็นสัตว์โลกเพียงชนิดเดียวที่ 'โคตรโชคร้าย'

เกิดมาพร้อม มันสมอง และ ความรู้สึก

มันสมอง ของมนุษย์มีขนาดใหญ่ และซับซ้อน
มันทำให้คุณมีความรู้ ความคิด และมีพัฒนาการทางร่างกายมากกว่า หมู หมา กา ไก่
มันทำให้คุณ เดิน พูด มอง วิ่ง ได้ยิน กิน หัวเราะ ร้องไห้ และอีกมากมาย

แต่ไอ้ที่ร้ายแรงสุดๆ และเป็นความโชคร้าย ที่มนุษย์พกพาติดตัวมาตั้งแต่เกิด
คือ ความรู้สึก เพราะความรู้สึก จะสั่งให้คุณเป็นโน่นเป็นนี่ ทำนั่นทำโน่น
โดยที่ร่างกายคุณไม่สามารถควบคุมได้

ความรู้สึกรัก ... ทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวตน
ความรู้สึกโกรธ .... ทำให้คุณไร้การควบคุม
ความรู้สึกเหนื่อย ... ทำให้คุณท้อแท้
ความรู้สึกเหงา ... ทำให้คุณโหยหา
ความรู้สึกว่างเปล่า .... ทำให้คุณอยากตาย

เมื่อตาย ร่างกายก็ไร้การควบคุม


ถ้ามนุษย์ไม่ต้องมีความรู้สึก โลกเราคงราบเรียบ สงบสุข

จริงอยู่มันอาจจะไม่มีสีสัน ไม่มีเสียงดนตรีแห่งชีวิต
โลกทั้งโลกอันเย็นเยียบ เรียบเฉย มองผ่านๆ อาจเห็นแต่สีเทาที่เย็นตา และน่าเบื่อ
โลกจะเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในจักรวาล ที่แสนสงบสุข ราบเรียบ
โลกจะก้าวเดินไปตามจังหวะที่เหมาะควร

ไม่ต้องเร่งรีบ แข่งขัน แก่งแย่ง เพื่อจะมีชีวิตอยู่ และ มีชีวิตที่ดีกว่า

ตื่น เพราะร่างกายพักผ่อนพอแล้ว
ม่ใช่ตื่นเพราะ มีภาระหนักอึ้ง และสงครามการใช้ชีวิตรอคอยอยู่
...
กิน เพราะร่างกายต้องการพลังงาน
ไม่ใช่เพราะ บริโภคเพื่อตอบสนองความต้องการทางรสชาติ และการเข้าสังคม
...
นุ่งห่มร่างกาย เพระต้องการความอบอุ่น ป้องกันภัยธรรมชาติ
ไม่ใช่เพราะ กำลังวิ่งตามแฟชั่นอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
...
สืบพันธุ์ เพื่อดำรงความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่เพราะ มีเซ็กซ์เพราะความอยาก เพื่อความรัก หรือครอบครองเพื่อเป็นเจ้าของ
...
นอน เมื่อเหนื่อย และต้องการปรับระบบร่างกาย
ไม่ใช่เพราะ เหนื่อยล้าเกินกว่าจะลืมตามองดูโลก อีกแค่ หนึ่งนาที
....
ถ้ามนุษย์เป็นได้แบบนี้ ... โลกคงเงียบลงบ้าง ช้าลงหน่อย แต่ก็คงสงบสุขดี ว่าไหม???